เจเรมี หลิน เรียกร้องหยุดเหยียดผิวคนเอเชียในสหรัฐอเมริกา
เจเรมี หลิน jeremy lin นักยัดห่วงเชื้อสายไต้หวันชาวอเมริกันออกมาเผยว่าเห็นปรากฏการณ์การเหยียดสีผิวของคนเอเชียเพิ่มมากขึ้นหลังจากเกิดปัญหาการระบาดของไวรัส โควิด-19 ไปทั่วโลก หลิน เป็นนักบาสเกตบอลชาวอเมริกันที่มีเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการคว้าแชมป์เอ็นบีเอ โดยคว้าแชมป์ตอนที่เล่นให้กับโตรอนโต แรพเตอร์ส ในปี 2019 โดยปัจจุเขาเล่นให้กับทีมซานตาครูซ วอร์ริเออร์ส ในศึกเอ็นบีเอ จีลีก โดยในช่วงที่เล่นในบาสเกตบอลเอ็นบีเอ หลินเจอปัญหากับการเหยียดผิวบ่อยหนมาก และผลักดันให้มีนักยัดห่วงเข้ามาเล่นในเอ็นบีเอมากยิ่งขึ้น
ล่าสุดนักยัดห่วงวัย 32 ออกมาเผยว่า หลังจากเกิดปัญหาการระบาดของไวรัส โควิด-19 ทำให้เกิดปัญหาการเหยียดสีผิวในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งยอมรับว่าไม่ค่อยพอใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่าใดนัก “การเหยียดผิวของคนเชื้อสายจากเอเชียเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคมปีที่แล้ว ผมเห็นคนเชื้อสายเอเชียโดนเกลียดชัง ด่าทอ และบางคนก็โดนทำร้าย มีอาชญากรรมการเกิดขึ้น” เจเรมี่ กล่าวต่อไปอีกว่าเขาเองก็ไม่ใช่จะหลบเลี่ยงสถานการณ์อันเลวร้ายดังกล่าวได้หรอก เพราะในการลงเล่นให้ซานตาครูซ วอร์ริเออร์ส ก็โดนคนตะโกนเรียกว่า “โคโรนาไวรัส” เพียงเพราะว่ามีเชื้อสายชาวเอเชีย และผู้คนมีความเชื่อว่าจุดเริ่มต้นของการระบาดของไวรัส โควิด-19 มาจากประเทศในเอเชีย
ก่อนหน้านี้นักยัดห่วงเชื้อสายไต้หวันเคยเดินทางไปเล่นบาสเกตบอลอาชีพในจีนกับทีมปักกิ่ง ดั๊กส์ ในช่วงระหว่างปี 2019-20 และเมื่อหมดสัญญากลับมาเล่นในสหรัฐอีกครั้งเขารู้สึกตกใจกับการเหยียดผิวที่มีสถานการณ์รุนแรงขึ้นกว่าเดิมมาก “ผมอยากจะเรียกร้องให้ผู้รับผิดชอบให้หันมาให้ความสนใจในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น อยากให้ผู้คนรับฟังกันมากขึ้นแทนที่จะประณาม สบถใส่กันอย่างไม่มีเหตุผล และอยากเห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนต่างวัฒนธรรม” เจเรมียังยืนด้วยว่าเมื่อวันใดที่เขาเลิกเล่นบาสเกตบอล ไม่มีทางที่จะได้เห็นเขาอยู่ข้างสนามในฐานะโค้ชอย่างแน่นอน
เพราะรากฐานความสนใจของเขาก็คือการอุทิศตัวเพื่อการกุศลมากกว่า โดยเฉพาะการช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาส เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิ “เจเรมี หลิน” ที่สหรัฐในปี 2013 และก่อตั้งมูลนิธิอีกแห่งในประเทศจีนในปี 2018 และยังบริจาคเงินเพื่อการกุศลอีกมากมาย และเพิ่งระดุมทุนได้เงินถึงกว่า 1 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือในช่วงการระบาดของโควิด-19 ในช่วงแรก และบริจาคเงินอีก 168,000 ช่วยเหลือองค์กรพัฒนาเอกชน “One Day’s Wages” เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ขาดแคลนในทวีปแอฟริกา